ERP ย่อมาจาก “Enterprise Resource Planning” หรือระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร เป็นชุดซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการทรัพยากรและกระบวนการทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรวมข้อมูลและฟังก์ชันการทำงานจากทุกแผนกในองค์กรไว้ในระบบเดียว ทำให้สามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลได้ง่ายขึ้น
หลักการทำงานของ ERP
ERP ทำงานโดยการรวบรวมข้อมูลจากทุกส่วนงานในองค์กรมาไว้ในฐานข้อมูลกลาง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในส่วนงานใดส่วนงานหนึ่ง ข้อมูลในฐานข้อมูลกลางก็จะได้รับการอัปเดตโดยอัตโนมัติ ทำให้ทุกส่วนงานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันได้ตลอดเวลา
ประเภทของ ERP
โปรแกรม ERP (Enterprise Resource Planning) สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
Cloud | On-Premise | Hybrid |
---|---|---|
เป็นระบบ ERP ที่ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ของตนเอง ข้อดีคือมีความยืดหยุ่นสูง สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา ค่าใช้จ่ายมักเป็นแบบรายเดือนหรือรายปี | เป็นระบบ ERP ที่ติดตั้งและใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรเอง ข้อดีคือมีความปลอดภัยสูงกว่า สามารถควบคุมข้อมูลได้อย่างเต็มที่ แต่ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษาอาจจะสูงกว่า | เป็นการผสมผสานระหว่าง Cloud ERP และ On-Premise ERP โดยบางส่วนของระบบอาจจะใช้งานผ่านคลาวด์ ในขณะที่บางส่วนอาจจะติดตั้งบนเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรเอง |
การเลือก ERP ที่เหมาะสมกับธุรกิจ
โปรแกรม ERP (Enterprise Resource Planning) นั้นเป็นระบบที่เหมาะสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ การเลือกให้เหมาะสมกับธุรกิจเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุนในระยะยาวได้
โดยมีปัจจัยที่ควรพิจารณาดังต่อไปนี้
1. วิเคราะห์ความต้องการของธุรกิจ
- กระบวนการทางธุรกิจ: ระบุและทำความเข้าใจกระบวนการทางธุรกิจหลักขององค์กร เช่น การจัดซื้อ การผลิต การขาย การเงิน บุคคล ฯลฯ ว่ามีขั้นตอนอย่างไร และต้องการให้ ERP ช่วยปรับปรุงส่วนไหน
- ปัญหาและอุปสรรค: ระบุปัญหาและอุปสรรคที่ธุรกิจกำลังเผชิญอยู่ เช่น ข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน การทำงานที่ซ้ำซ้อน การสื่อสารที่ไม่ดี ฯลฯ เพื่อให้ ERP เข้ามาช่วยแก้ไขได้ตรงจุด
- เป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้ ERP ช่วยให้บรรลุ เช่น ลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย ปรับปรุงการบริการลูกค้า ฯลฯ
2. ประเมินโปรแกรม ERP ที่มีในตลาด
- คุณสมบัติและฟังก์ชัน: ศึกษาคุณสมบัติและฟังก์ชันของโปรแกรม ERP แต่ละตัว ว่าตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจได้ครบถ้วนหรือไม่ และมีฟังก์ชันพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจหรือไม่
- ความยืดหยุ่น: เลือกโปรแกรม ERP ที่มีความยืดหยุ่น สามารถปรับแต่งและเพิ่มเติมได้ตามความต้องการของธุรกิจในอนาคต
- ความสามารถในการใช้งาน: โปรแกรม ERP ควรใช้งานง่าย มีอินเทอร์เฟซที่เข้าใจง่าย และมีระบบช่วยเหลือที่ดี
- ความปลอดภัย: ตรวจสอบระบบความปลอดภัยของโปรแกรม ERP ว่ามีมาตรการป้องกันข้อมูลที่เพียงพอหรือไม่
- การรองรับเทคโนโลยี: เลือกโปรแกรม ERP ที่มีการพัฒนาและอัปเดตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ
3. พิจารณาผู้ให้บริการ
- ชื่อเสียงและประสบการณ์: เลือกผู้ให้บริการที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ในการติดตั้งและดูแลระบบ ERP
- การสนับสนุน: ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีทีมสนับสนุนที่พร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาหรือข้อสงสัย
- ค่าใช้จ่าย: เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและดูแลรักษาโปรแกรม ERP ของผู้ให้บริการแต่ละราย
4. ทดลองใช้งาน
- Demo: ขอทดลองใช้งานโปรแกรม ERP ในรูปแบบ Demo เพื่อดูว่าโปรแกรมใช้งานได้จริงตามที่ต้องการหรือไม่
- Pilot project: หากเป็นไปได้ อาจทำโครงการนำร่อง (Pilot project) เพื่อทดลองใช้งานโปรแกรม ERP ในบางส่วนของธุรกิจก่อน
5. วางแผนการติดตั้งและใช้งาน
- ทีมงาน: จัดตั้งทีมงานที่มีความรู้ความเข้าใจในการใช้งานโปรแกรม ERP
- การฝึกอบรม: จัดให้มีการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถใช้งานโปรแกรม ERP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การปรับปรุงกระบวนการ: อาจต้องมีการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจบางส่วนให้สอดคล้องกับการใช้งานโปรแกรม ERP
นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงขนาดธุรกิจ งบประมาณ และประเภทของธุรกิจอีกด้วย เพื่อตรงกับความต้องการใช้งานในธุรกิจของคุณมากที่สุด
โดยประสิทธิภาพ และฟังก์ชันการใช้งานจะแปรผันตรงกับความต้องการใช้งานและงบประมาณที่คุณมี หากต้องการให้ระบบ ERP สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายและมีประสิทธิภาพ ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ขั้นตอนการนำโปรแกรม ERP ไปปรับใช้ในธุรกิจ
การนำ ERP ไปปรับใช้ในธุรกิจเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรมาก ควรมีการวางแผนอย่างรอบคอบ และมีการฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจและสามารถใช้งาน ERP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของ ERP ต่อธุรกิจ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: ERP ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลและกระบวนการทำงาน ทำให้พนักงานสามารถทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ลดต้นทุน: ERP ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน โดยลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้อมูล การสื่อสาร และการจัดการสินค้าคงคลัง
- ปรับปรุงการตัดสินใจ: ERP ช่วยให้ผู้บริหารสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
- เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า: ERP ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น โดยสามารถจัดส่งสินค้าได้รวดเร็วและถูกต้อง
- เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน: ERP ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โปรแกรม ERP เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน หากคุณกำลังมองหาวิธีที่จะพัฒนาธุรกิจของคุณ ERP ก็นับเป็นหนึ่งในทางเลือกที่คุ้มค่าแก่การลงทุนในระยะยาวมากค่ะ
New Generation Blog “DeeShot” บล็อกเรื่องราวทั่วไปจากนักเขียนที่ชื่นชอบงานธุรกิจลงทุน สุขภาพความงาม และเทคโนโลยี ที่แตกต่างแต่เหมือนกัน รวบรวมทุกความน่าสนใจมาไว้ที่บล็อกเดียว